Thursday 25 October 2012

จักรวาลคู่ขนาน (Cosmo Alongside)

 
 

 

                                  
 
 
        "นายเป็นใคร"
         คำถามแรกที่ยิงเข้าใส่ชายแปลกหน้าที่หน้าตาละม้ายคล้ายกับตัวผมเองมากๆ ราวกับเป็นฝาแฝด แต่เท่าที่ผมจำความได้ ผมเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อและแม่ หรือว่าพ่อของผมแอบไปมีบ้านลับๆ อยู่กันแน่ๆ อันนี้ผมก็ไม่สามารถตอบได้ ผมจึงดึงความสนใจกลับมาที่เจ้าของร่างที่อยู่ตรงหน้า น่าแปลกที่หมอนี่เข้ามาในบ้านได้โดยที่เจ้า "หางดาบ" ไม่เห่าสักแอะ
        
        "ฉันคือนาย"
         คำตอบแรกออกมาจากปากของชายคนที่ผมกำลังยืนจ้องหน้าและเป็นคำตอบที่ทำให้ผมอึ้งไปชั่วขณะ
         "นายคือฉัน" ผมย้อนถาม
         "ใช่ ฉันคือนายในจักรวาลคู่ขนานของวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2547 เวลา 14.00 น."
         ผมคิดว่านี่ผมกำลังหลุดเข้าไปในหนัง ไซไฟ เรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือไม่ ที่มีตัวเองย้อนอดีตมาหาตัวเองเพื่อมาแก้ไขอะไรบางอย่าง
          "เป็นไปไม่ได้"
          "แต่มันเป็นไปแล้ว ปอม"
           หมอนี่รู้จักชื่อเล่นผม
           "แปลกใจใช่มั้ยล่ะนายเป็นลูกชายคนเดียวของที่บ้าน พ่อเป็นสถาปนิกแม่เป็นนางพยาบาล ส่วนนายสอบติดวิศวะ แต่นายเลือกเรียนนิเทศ" แทนตอนอายุ 14 ปี เคยจะเอาดอกไม้ไปให้ผู้หญิงที่แอบชอบ สุดท้ายแล้วนายก็เปลี่ยนใจทิ้งดอกไม้ดอกนั้นโดยที่ยังไม่ได้ให้ด้วยซ้ำ" 
            ไม่น่าเชื่อเจ้าหมอนี่รู้เรื่องดอกไม้ดอกนั้นที่มีผมเพียงคนเดียวที่รู้ ในใจตอนนี้ผมเริ่มจะเชื่อว่าหมอนี่เป็นผมอีกคนจริงๆขึ้นมาแล้ว
            "แล้วนายมาที่นี่ทำไม"
            "ฉันมาเพื่อหาคำตอบให้ตัวเองและมาตอบคำถามของตัวนายที่นายเคยถามไว้เมื่อครั้งที่เราเป็นคนเดียวกัน"
            "คนคนเดียวกัน??" ผมยังคงงงกับคำพูดบางคำของผู้มาเยือน
            "ฉันจะเล่าให้นายฟัง" เขานั่งลงบนโซฟา
            "นายเคยได้ยินเรื่องจักรวาลคู่ขนานมั้ย"
            ผมส่ายหน้าให้กับคำถาม
             "นายเคยตั้งคำถามกับเองเสมอใช่มั้ยว่า ถ้าเราเจอทางเลือกสองทาง เราเองเลือกที่จะไปทางแรก หลังจากนั้นเรามักจะถามตัวเองเสมอว่า แล้วทางที่เราไม่ได้เลือกล่ะ มันเป็นอย่างไร หรือว่า เราจะเป็นยังไงนะถ้าวันนั้นเราเลือกเดินไปทางนั้น"
             "ถ้าเช่นนั้นนายก็เป็นตัวฉันที่เลือกไปในทางที่ฉันไม่ได้เลือก แล้วถ้าเช่นนั้นุทุกๆ ครั้งที่ฉันตัดสินใจ ฉันก็จะมีตัวฉันมากมายเกิดขึ้นในจักวาลคู่ขนานนะสิ" ผมถามขึ้น
             "นายเข้าใจถูกแล้วละ แต่ไม่ทุกครั้งหรอกนะ จักรวาลคู่ขนานจะเกิดขึ้นเมื่อนายเกิดความลังเลอย่างที่สุด จิตของนายจะสร้างตัวนายขึ้นมาเพื่อเดินไปอีกทางที่ไม่ได้เลือก เพราะทั้งสองทางล้วนแต่เป็นทางที่นายต้องการที่จะเดินไปแต่นายเกิดความไม่แน่ใจอย่างมหาศาลที่ถาโถมเข้าสู่จิตใจ" เขาเล่าต่อ
              "แต่ฉันเองเป็นทางแยกที่นายเกิดความลังเลอย่างมากในการตัดสินใจ ฉันนี่แหละคือปอมที่เดินไปยังทางเลือกที่นายไม่ได้เลือก ฉันคือทางเลือกของนายเมื่อวันที่ 14 กุมพาพันธ์ 2547"
               เมื่อเขาบอกวันที่ 14 กุมพาาพันธ์ 2547 ขึ้นมา ความรู้สึกผมราาวกับย้อนวันเวลาไปยังวันนั้น วันวาเลนไทน์ของปีนั้น
               ผมเห็นตัวเองอยู่ในชุดนักศึกษาเดินถือดอกไม้หนึ่งช่อ กำลังเดินตรงไปยังเธอคนนั้น เธอคนที่ผมเฝ้ามองมานานและผมก็คดว่าวาเลนไทน์นี่แหละเป็นโอกาสเหมาะที่จะเผยความในใจ ผมเดินเข้าไปยื่นดอกกุหลาบขาวช่อใหญ่ให้เธอท่ามกลางคนมากมาย
               เธอยิ้มกลับมาน้อยๆ แล้วบอกว่า "ขอไม่รับได้มั้ยคะ"
               ผมเหมือนกับโดนตบหน้าเข้าฉาดใหญ่ ยืนอึ้งและทำอะไรไม่ถูก พอตั้งสติกลับมาได้ผมจึงบอกเธอไปว่า
               "รับไปเถอะครับวันดีๆ ทั้งที" พลางในช่อดอกไม้ไปใกล้ตัวเธอ ภาพที่เห็นคือเธอพยายามขยับตัวหนีและเปลี่ยนสีหน้าเหมือนเห็นตัวอะไรสักอย่างที่เธอขยะแขยง ไม่ทันที่เธอจะพูดอะไรผมจึงปล่อยดอกไม้ช่อนั้นหล่นลงพื้นแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น พร้อมความรู้สึกพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
 
...................................
 
                "นายจำมันได้ใช่มั้ยปอม" คำถามดึงผมกลับมายังปัจจุบัน
                "ใช่ แล้วนายเป็นทางเลือกตอนไหนเหรอ ตอนที่ทิ้งดอกไม้ใช่มั้ย นายไม่ได้ทิ้งดอกไม้นั้นใข่มั้ย" ผมถามอย่างใคร่รู้
                "ไม่ใช่" เขาตอบ
                 "ฉันเป็นทางเลือกนายตอนที่นายเสียใจและนายอยากหายหน้าไปให้พ้นๆ จากห้องเรียนจากมหาวิทยาลัย ฉันคือนายคนที่ยังยืนยันที่จะเรียนที่เดิม คนที่ยังยืนยันจะไปเรียนเพื่อพ่อแม่ นายยังจำเหล้าขวดนั้นได้ใช่มั้ย"
                 ผมนิ่งไปชั่วขณะ........
                "ฉันไม่เคยลืม และฉันคิดมาตลอดว่า ถ้าฉันเลือกที่จะไม่กินมันแล้วฉันกลับไปตั้งใจเรียน แล้วชีวิตฉันจะเป็นเช่นไร"
                 ผมต้องการได้คำตอบที่ผมอยากรู้มาตลอดชีวิต ผมจึงถามเขาออกไปว่าแล้วปอมผู้มาเยือนตอนนี้ชีวิตเป็นเช่นไร
                 เขาเล่าว่าตอนนี้เป็นเจ้าของบริษัทผลิตโทรทัศน์และเป็นช่างภาพอิสระ เขาแต่างงานแล้ว และที่น่าแปลกใจคือ.....ผู้หญิงคนนั้นคือคนเดียวกันกับคนที่ปฏิเสธดอกไม้ช่อนั้น ปอมผู้มาเยือนบอกว่าพอหลังจากทิ้งเหล้าขวดนั้นแล้วมานั่งเรียน โดยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรียนจนถึงปี4 ปอมก็ได้โอกาสกำกับหนังของค่ายยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย ชื่อเสียงในมหาวิทยาลัยเรียกว่าดังเลยทีเดียวคราวนี้ปอมจึงตัดสินใจซื้อดอกไม้ให้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ไม่ใช่ด้วยความดังที่เธอรับดอกไม้ แต่ด้วยความพยายาม และทำให้เธอเห็นมาตลอดว่าเธอเป็นคนที่ปอมต้องการเป็นแฟนด้วย เธอจึงตอบตกลงคบกับปอม และแต่งงานกันในที่สุด
                 "แล้วนายล่ะชีวิตเป็นเช่นไร นายเป็นทางเลือกที่ฉันต้องการอยากรู้ เช่นเดียวกับที่นายอยากรู้" เขาถาม ผมจึงเล่าเรื่องชีวิตให้ฟัง
                 "วันนั้นพอฉันเมาได้ที่ ฉันเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัยและไปตามหาเธอในห้องเรียน ฉันเดินเข้าไปสารภาพรัก ทั้งๆ ที่สติแทบจะไม่เหลือ ผู้คนในห้องนั้นหัวเราะเยาะฉัน ฉันจึงเอาขวดเหล้าที่ถือมาด้วยนั้นฟาดหัวแตกไปคนหนึ่ง สุดท้ายฉันก็โดนพวกนั้นลากไปโรงพัก รุ่งขึ้นมหาวิทยาลัยไล่ฉันออก ทุกวันนี้เลยอยู่บ้านเป็นคนรับใช้พ่อกับแม่" ผมเล่าจบ แววตาของผู้มาเยือนดูเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
                 เราคุยกันถึงเรื่องต่างๆ ในชีวิตของกันและกันจนเวลาร่วมชั่วโมงก็ผ่านไป.......
                "ฉันต้องไปแล้ว" เขาพูดพร้อมยิ้มบางๆ
                "ขอบคุณที่มาบอกคำตอบที่อยากรู้มาตลอดชีวิต" ผมบอกลาพร้อมคำขอบคุณ
 
               ผู้มาเยือนเดินออกจากประตูบ้านไป ผมไม่รู้ว่าเขามาที่นี่ได้ยังไง แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าผมจะต้องมาอยู่ที่นี่ แต่สิ่งที่ผมอยากรู้ไปกว่านั้นคือ ถ้าผมเลือกไปอีกทางผมจะกลับมาสนใจทางที่ไม่ได้เลือกหรือไม่ ทุกวันนี้ยังมีคนอีกมากมายที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะใช้ชีวิตไปอย่างไร แล้วสิ่งที่เราไม่ได้เลือกทำ ถ้าเราทำมันจะเป็นเช่นไร ผมก็เช่นเดียว วินาทีต่อจากนี้ไปผมจะยังคงนั่งอยู่บ้าน ใช้อากาศหายใจใช้เงินพ่อแม่ไปวันๆ หรือผมจะลุกขึ้นไปทำฝันที่ผมต้องการมาตลอดให้เป็นจริง
 
               แต่การตัดสินคราวนี้คงไม่มีปอมอีกคนเกิดขึ้นในจักรวาลคู่ขนานอย่างแน่นอน เพราะผมได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่า...ต่อไปนี้ชีวิตผมจะไม่มีความลังเลอีกต่อไป ผมจะได้ยินไปตามความฝันของผม แม้ว่าทางที่ผมไม่ได้เลือกจะเป็นเช่นไร แต่ผมจะเดินไปในทางที่ผมเลือกให้ดีที่สุด เท่าที่ผมจะทำได้ เพื่อตัวผมเองในอนาคต จะได้ไม่ต้องถามว่า
                ทำไมวันนั้นเราถึงไม่ลงมือทำ??
            
              



1 comment: