Tuesday 6 November 2012

เพื่อนสนิท (Best Friend)


สัมพันธภาพที่เรียกว่าความรัก ก่อเกิดขึ้นมาจากแห่งใด หรือเมื่อไหร่ ไม่มีใครสนใจอยากจะถาม แต่การที่การแปรสภาพจากคนคุ้นเคย หรือจากคนที่สนิทสนมเกิดเป็นความรักซึ่งอาจเป็นสิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้ว่าความรัก คือความเข้าใจ ความห่วงหาอาทร ด้วยความบริสุทธิ์ใจ แบบเพื่อนฝูง คนสนิทคุ้นเคย เพราะการวางตัวโดยเริ่มจากตรงนั้น พอดีสำหรับจุดเหมาะที่คนสองคนที่คบกันพึงจะกระทำ แค่นั้นก็เพียงพอสำหรับการคบหาแล้ว เพราะบางทีการทะเลาะเบาะแว้งกัน ก็มาจากการที่อีกฝ่าย คาดหวังแล้วผิดหวังกับอีกฝ่าย แต่สำหรับความเป็นเพื่อน ไม่มีอะไรที่คาดหวัง นอกจากความหวังดีที่บริสุทธิ์ใจ สิ่งนี้คือบ่อเกิดของความเข้าใจ และรู้สึกอันดีต่อกันนั่นคือสิ่งที่น่าสนใจ

เพื่อนสนิทฉันคนหนึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่สิบห้าปีที่แล้ว เริ่มตั้งแต่ปีหนึ่งในรั้วมหาวิทยาลัยรู้จักและคุ้นเคยจากซุ้มพักนักศึกษา คณะที่ติดกัน ทำให้เกิดการพบปะ พูดคุยกันในกลุ่มเพื่อนฝูง จนสนิทคุ้นเคยกันดี จวบจนจบการศึกษาก็ยังคบหา กินเที่ยวด้วยกันแบบมิตรสหาย จนในบางทีฉันก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ กับสายตา และท่าที รวมไปถึงหนังสือ หรือเพลงที่เพื่อนสนิทคนนี้แต่ง และส่งให้ รวมทั้งจากการแซวของเพื่อนๆในกลุ่มด้วยกันเอง ฉันเองไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่เพราะคิดว่าเพื่อนก็คือเพื่อนอยู่ดี และบางทีฉันอาจจะพอใจแล้วในสัมพันธภาพตรงนั้นระหว่างเพื่อน

จวบจนวันนั้น เราก็ยังส่งข่าวกันบ้างในยามที่ห่างกันไปตามโอกาส เมื่อสามารถพบเจอก็นัดกันเลี้ยงในกลุ่มเพื่อนฝูงเดิมๆ เพื่อถามข่าวคราว สารทุกข์สุขดิบ เที่ยวกันมาอย่างไร จนป่านนี้แม้นวัยจะล่วงเลย ต่างมีหน้าที่ๆต้องแยกกันไป ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมระหว่างเพื่อน จนมาในวันหนึ่งที่ฉันได้มีโอกาศได้มาคลุกคลีกับเพื่อนสนิทอิกครั้ง เที่ยวตามต่างจังหวัดสวยๆ ดื่มและคุยกันจนดึกดื่นเหมือนเดิม เราต่างไม่มีข้อสงสัยในกัน ฉันหลับไปด้วยความรู้สึกผ่อนคลายเหมือนเดิม ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกว่ายังอยากจะนอนต่ออีกสักงีบ พร้อมบ่นว่า."ชั้นยังนอนไม่เต็มอิ่มเลย รู้สึกอยากงีบต่อสักพักอ่ะ" เพื่อนมันได้ยินรีบสวนฉันทันที " อะไรหล่อนนินะ ยังนอนไม่พอ เสียงกรนซะออกอย่างน้าน ชั้นสิ แทบไม่ได้นอนเลย " บ่นแค่นั้นมันก็ล้มลงนอนต่อ ฉันอึ้งอยู่พักหนึ่ง แล้วถามต่อว่า "มันดังขนาดนั้นเลยเหรอ" เพื่อนมันตอบ คำดียวสั้นๆ "เออ" ฉันก็แค่รู้สึกผิดนิดหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับต้องเอ่ยขอโทษ เพราะความคุ้นเคย ออกขำๆด้วยซําไป

มาถึงอีกวันหนึ่ง มีเหตุร้ายที่ทำฉันไม่สามารถนอนห้องคนเดียวได้ จึงโทรเรียกให้เพื่อนมานอนเป็นเพื่อน ฉันเลยถือโอกาสปรึกษาเพื่อนสนิทเรื่องของหัวใจ เพราะบางทีผู้ชายด้วยกันอาจจะรู้อะไรมากกว่าเราซึ่งเป็นหญิง มีอยู่คำหนึ่งที่คำพูดของเพื่อนมันทำฉันสะอึก"เค้าจะทนเสียงกรนหล่อนได้ไหม" นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันหวั่นเรื่องคนรักฉันจะทนมันไม่ได้จริงๆ แต่ฉันคิดมากไปกว่านั้นแล้วเราต่างเข้านอนตามปกติ ฉันนอนไปตื่นไป เพราะยังกลัวๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น(ที่ทำฉันไม่สามารถนอนคนเดียวได้) สักพักเพื่อนมันก็เดินเข้าห้องนํา และรู้สึกว่ามันเข้าบ่อยไปแล้ว มาเฉลยอิกทีมันท้องเสียก็ตอนที่มันนั่งโถส้วมด้วยเสียงอันดังมากๆ เล่นเอาฉันตกใจในเสียงขับถ่ายของเสียของมัน ท่ามกลางเสียงเงียบกลางดึกคืนนั้น

ในตอนเช้าฉันตื่นขึ้นมาแซวมันอย่างรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่อง "นายบอกว่าชั้นกรนเสียงดังใช่มะ" เพื่อนมันหันมามองหน้าฉันแบบสงสัยๆ ว่านี่มันก็คงจะกรนเสียงดังขนาดนั้นด้วยเหรอ? ฉันพูดต่อไปทันทีเลยว่า "ส่วนต(เสียงผายลม)ของนายก็ใช่ย่อยนินา ทำชั้นที่หลับๆอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมาได้เลยอ่ะ" แล้วชั้นก็หัวเราะอย่างดังด้วยความรู้สึกสะใจบ้าง(ในใจฉันก็อยากล้อมันต่อไปเหมือนกันว่าแล้วใครจะทนเสียงตด นายได้ว้าเหมือนกัน อิอิ )

ขอบคุณเพื่อนสนิทของฉัน ขอบคุณความเอื้ออาทรที่มีให้กันเสมอมา และฉันสัญญาว่าจะคงรักษาความสัมพันธ์อันงดงามนี้ตลอดไป เพื่อนรัก

No comments:

Post a Comment